ผังบัญชีคืออะไร? ทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญ

chart of accounts

Table of Contents

ข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะข้อมูลทางการเงินที่สะท้อนสุขภาพและความเป็นไปของกิจการ การมีระบบบัญชีที่ดีจึงเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง โปรแกรม Express เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางบัญชีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ผู้ประกอบการและนัก ทำบัญชี ชาวไทย ด้วยความสามารถที่หลากหลายและใช้งานไม่ซับซ้อนนัก แต่หัวใจสำคัญที่จะทำให้ โปรแกรม Express แสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่นั้น อยู่ที่การเริ่มต้นวาง “ผังบัญชี” (Chart of Accounts) ให้ถูกต้องและเหมาะสมเสียก่อน

บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักและเข้าใจกระบวนการวางผังบัญชีใน โปรแกรม Express อย่างละเอียด แต่ทางบัญชีพร้อมจะใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย แม้ท่านที่อาจจะยังไม่มีพื้นฐานด้าน บัญชี มาก่อน ก็สามารถทำความเข้าใจได้ 

ลองนึกภาพว่ากิจการของคุณมีเอกสารทางการเงินมากมาย ทั้งใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี สลิปโอนเงิน ถ้าเราเก็บเอกสารเหล่านี้กองรวมกันไว้เฉยๆ เวลาต้องการหาข้อมูลอะไรสักอย่างคงวุ่นวายน่าดูใช่ไหมคะ

“ผังบัญชี” ก็เข้ามาทำหน้าที่คล้ายๆ กับ “สารบัญ” หรือ “โครงสร้างการจัดเก็บ” ข้อมูลทางการเงินค่ะ มันคือการกำหนดหมวดหมู่และตั้งชื่อให้กับรายการทางการเงินต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกิจการอย่างเป็นระบบ โดยปกติจะประกอบด้วยสองส่วนหลักๆ คือ “รหัสบัญชี” (ตัวเลขหรือรหัสที่ใช้อ้างอิง) และ “ชื่อบัญชี” (คำอธิบายว่ารหัสนั้นหมายถึงรายการอะไร)

แล้วทำไมผังบัญชีถึงสำคัญขนาดนั้น?

  1. จัดระเบียบข้อมูล: ช่วยให้เราแยกประเภทรายการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน เช่น นี่คือรายได้จากการขายนะ นี่คือค่าเช่าออฟฟิศ นี่คือเงินที่ลูกค้ายังค้างจ่ายเราอยู่ เมื่อข้อมูลถูกจัดเป็นหมวดหมู่ ก็ง่ายต่อการค้นหาและนำไปใช้งาน
  1. บันทึกบัญชีแม่นยำ: เมื่อมีผังบัญชีเป็นมาตรฐาน คนที่ทำหน้าที่บันทึกข้อมูล (ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการเอง หรือพนักงานบัญชี) ก็จะรู้ว่ารายการนี้ควรจะลงในบัญชีไหน ทำให้การบันทึกข้อมูลถูกต้อง ลดความผิดพลาดจากการลงบัญชีผิดประเภท ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่องบการเงินได้
  1. ทำรายงานง่ายและน่าเชื่อถือ: งบการเงินสำคัญๆ ที่เราต้องใช้ดูผลประกอบการ หรือยื่นต่อหน่วยงานราชการ เช่น งบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) ล้วนแต่ดึงข้อมูลมาจากการจัดหมวดหมู่ตามผังบัญชีนี่แหละค่ะ ถ้าผังบัญชีเราดี รายงานที่ได้ก็จะถูกต้อง สะท้อนภาพจริงของกิจการ และทำได้อย่างรวดเร็ว
  1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ: ผู้บริหารสามารถนำรายงานที่ได้จากผังบัญชีที่มีโครงสร้างดี มาวิเคราะห์ต่อยอดได้ง่าย เช่น ดูว่าค่าใช้จ่ายประเภทไหนสูงผิดปกติ รายได้ส่วนไหนเติบโตดี เพื่อนำไปวางแผนปรับปรุงการดำเนินงาน หรือตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของธุรกิจ
  1. ควบคุมและตรวจสอบ: ผังบัญชีที่ชัดเจนยังช่วยให้การตรวจสอบภายในทำได้ง่ายขึ้น ช่วยป้องกันข้อผิดพลาดหรือแม้กระทั่งการทุจริตได้ในระดับหนึ่ง เพราะสามารถติดตามเส้นทางการเงินได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการวางผังบัญชีไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิคของนัก บัญชี เท่านั้น แต่มันคือรากฐานสำคัญของการจัดการการเงินในธุรกิจเลยทีเดียว หากไม่มีผังบัญชี การทำบัญชีก็จะสะเปะสะปะ ข้อมูลไม่เป็นระบบ และยากที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ค่ะ

ตามหลักการของบัญชีและที่ โปรแกรม Express ใช้เป็นแนวทาง ผังบัญชีมักจะถูกจัดแบ่งออกเป็น 5 หมวดหมู่หลักๆ ซึ่งสอดคล้องกับสมการบัญชีพื้นฐาน (สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ) และองค์ประกอบในงบการเงิน ได้แก่

  1. หมวด 1: สินทรัพย์ (Assets) คือ สิ่งที่กิจการมีอยู่ในครอบครองและคาดว่าจะให้ประโยชน์ในอนาคต อาจจะเป็นตัวเงิน หรือสิ่งของก็ได้ โดยมักจะเรียงลำดับตามความง่ายในการเปลี่ยนเป็นเงินสด (สภาพคล่อง)

ตัวอย่าง: เงินสดในมือ, เงินฝากธนาคาร, ลูกหนี้ (เงินที่ลูกค้าค้างเรา), สินค้าที่รอขาย, ค่าใช้จ่ายที่จ่ายล่วงหน้าไปแล้ว (เช่น ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า), ที่ดิน, อาคาร, อุปกรณ์สำนักงาน, รถยนต์, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

หมวดที่ 1 สินทรัพย์

เลขที่บัญชีชื่อบัญชี
11000บัญชีเงินสด
12000บัญชีลูกหนี้การค้า-ในประเทศ
12100บัญชีลูกหนี้การค้า-ต่างประเทศ
13000บัญชีวัสดุสิ้นเปลือง
14000บัญชีเครื่องตกแต่งสำนักงาน
15000บัญชีอุปกรณ์สำนักงาน
16000บัญชีรถยนต์
17000บัญชีอาคาร
  1. หมวด 2: หนี้สิน (Liabilities) คือ ภาระผูกพันที่กิจการต้องจ่ายคืนให้บุคคลภายนอกในอนาคต

ตัวอย่าง: เงินกู้ยืมจากธนาคาร, เจ้าหนี้ (เงินที่เราค้างจ่ายให้ผู้ขาย), ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ได้จ่าย (เช่น เงินเดือนค้างจ่าย), ภาษีที่ต้องนำส่งสรรพากร เป็นต้น

หมวดที่ 2 หนี้สิน

เลขที่บัญชีชื่อบัญชี
21000บัญชีเจ้าหนี้การค้า (ระยะสั้น)
21100บัญชีเจ้าหนี้การค้า (ระยะยาว)
22000บัญชีเงินเดือนและค่าแรงค้างจ่าย
23000บัญชีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ค้างจ่าย
  1. หมวด 3: ส่วนของเจ้าของ (Equity) คือ ส่วนได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์ หลังจากหักหนี้สินทั้งหมดออกไปแล้ว พูดง่ายๆ คือความเป็นเจ้าของในกิจการนั่นเอง

ตัวอย่าง: ทุนที่เจ้าของลงเริ่มแรก (ทุนเรือนหุ้น), กำไรที่สะสมมาจากการดำเนินงานในอดีต (กำไรสะสม) เป็นต้น

หมวดที่ 3 ส่วนของเจ้าของ

เลขที่บัญชีชื่อบัญชี
31000บัญชีเบิกใช้ส่วนตัว
32000บัญชีกำไรขาดทุน
  1. หมวด 4: รายได้ (Revenues/Income) คือ เงินหรือผลประโยชน์ที่กิจการได้รับจากการดำเนินงานตามปกติ หรือกิจกรรมอื่นๆ

ตัวอย่าง: รายได้จากการขายสินค้า, รายได้จากการให้บริการ, ดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝาก, กำไรจากการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช้แล้ว เป็นต้น

หมวดที่ 4 รายได้

เลขที่บัญชีชื่อบัญชี
41000บัญชีรายได้จากการให้บริการ
42000บัญชีรายได้เบ็ดเตล็ด
  1. หมวด 5: ค่าใช้จ่าย (Expenses) คือ ต้นทุนหรือเงินที่กิจการจ่ายออกไปเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ หรือเพื่อการดำเนินงานทั่วไป

ตัวอย่าง: ต้นทุนสินค้าที่ขายไป, เงินเดือนพนักงาน, ค่าเช่า, ค่าน้ำค่าไฟ, ค่าโฆษณา, ค่าเดินทาง, ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่าย, ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ต่างๆ เป็นต้น

ค่าเสื่อมราคามักจะเริ่มต้นที่รหัส 56100 เพราะว่ารหัส 56000 จะถูกใช้เป็นบัญชีคุมค่าเสื่อมราคาค่ะ จริงๆ แล้วผังบัญชีแต่ละกิจการไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะคะ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการดำเนินงานและความละเอียดของแต่ละองค์กรเลย การตั้งรหัสแบบนี้เป็นแนวที่นิยมใช้กัน และยังช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจหรือวางแผนได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

หมวดที่ 5 ค่าใช้จ่าย

เลขที่บัญชีชื่อบัญชี
51000บัญชีเงินเดือนและค่าแรง
52000บัญชีค่าเบี้ยประกันภัย
53000บัญชีค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด
54000บัญชีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
55000บัญชีวัสดุสิ้นเปลืองใช้ไป
56100บัญชีค่าเสื่อมราคา-อุปกรณ์สำนักงาน
56200บัญชีค่าเสื่อมราคา-รถยนต์
56300บัญชีค่าเสื่อมราดา-อาคาร

โดยทั่วไป เรามักจะกำหนด “รหัสบัญชี” ให้สอดคล้องกับหมวดหมู่เหล่านี้ เช่น บัญชีในหมวดสินทรัพย์ มักจะขึ้นต้นด้วยเลข 1 (เช่น 11100 เงินสด, 11300 ลูกหนี้การค้า), หมวดหนี้สินขึ้นต้นด้วยเลข 2 (เช่น 21200 เจ้าหนี้การค้า), หมวดส่วนของเจ้าของขึ้นต้นด้วยเลข 3, หมวดรายได้ขึ้นต้นด้วยเลข 4, และหมวดค่าใช้จ่ายขึ้นต้นด้วยเลข 5 ซึ่งช่วยให้จดจำและจัดเรียงได้ง่ายขึ้นค่ะ

ทีนี้เรามาดูกันว่า เมื่อต้องมาตั้งค่าผังบัญชีใน โปรแกรม Express จริงๆ มีประเด็นอะไรที่เราต้องทำความเข้าใจและตัดสินใจบ้าง

1. ผังบัญชีเริ่มต้น (Standard Chart of Accounts)

ข่าวดีคือ โปรแกรม Express ไม่ได้ปล่อยให้เราเริ่มต้นจากศูนย์ค่ะ เมื่อเราติดตั้งโปรแกรมครั้งแรก เขาจะมี “ผังบัญชีมาตรฐาน” มาให้ชุดหนึ่ง ซึ่งออกแบบมาค่อนข้างครอบคลุมการใช้งานทั่วไปของธุรกิจในไทย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจแต่ละแห่งก็มีความแตกต่างกัน ผังบัญชีมาตรฐานนี้อาจจะมีบางบัญชีที่เราไม่ได้ใช้ หรืออาจจะขาดบางบัญชีที่จำเป็นสำหรับธุรกิจเราไป หรือชื่อบัญชีอาจจะยังไม่สื่อความหมายเท่าที่ควร ดังนั้น การตรวจสอบและปรับปรุงผังบัญชีมาตรฐานนี้ให้เข้ากับกิจการของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญ

2. การเข้าถึงและแก้ไข

โดยปกติแล้ว การตั้งค่าผังบัญชีใน โปรแกรม Express จะอยู่ในเมนู ” 5.บัญชี หรือ Account ” จะอยู่ใน ” 2.ผังบัญชี หรือ Chart of Accounts ” (ชื่อเมนูอาจต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับภาษาของโปรแกรม Express ที่ใช้) ซึ่งในหน้านี้ เราจะสามารถดูรายชื่อบัญชีทั้งหมดที่มีอยู่ แก้ไขรายละเอียด เพิ่มบัญชีใหม่ หรือลบบัญชีที่ไม่ต้องการออกได้

3. รหัสบัญชี (Account Code) และ ชื่อบัญชี (Account Name)

  • รหัสบัญชี: เราสามารถกำหนดรหัสเองได้ แต่ควรวางแผนให้เป็นระบบตามหลัก 5 หมวดที่กล่าวไป และควรเว้นช่วงตัวเลขไว้บ้าง เผื่ออนาคตมีบัญชีใหม่ๆ เพิ่มเติม จะได้แทรกเข้าไปในหมวดหมู่ที่ถูกต้องได้ ความยาวของรหัสก็ควรสม่ำเสมอ เช่น ถ้าใช้ 5 หลัก ก็ควรใช้ 5 หลักทั้งหมด
  • ชื่อบัญชี: ควรตั้งชื่อให้ชัดเจน สื่อความหมายได้ทันทีว่าเป็นรายการอะไร ควรใช้ภาษาไทยเป็นหลักเพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจตรงกัน เช่น แทนที่จะใช้แค่ “ค่าใช้จ่ายอื่น” อาจระบุให้ชัดเจนขึ้นเป็น “ค่ารับรองลูกค้า” หรือ “ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดสำนักงาน”

4. ประเภทบัญชีและระดับบัญชี (Account Type/Level)

ตรงนี้เป็นจุดที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะมีผลโดยตรงกับการใช้งาน โปรแกรม Express ค่ะ โปรแกรมจะให้เรากำหนด “ประเภท” หรือ “ระดับ” ของแต่ละบัญชี ซึ่งหลักๆ จะแบ่งเป็น:

บัญชีคุม (Control Account – มักกำหนดประเภทเป็น ‘C’) เปรียบเสมือน “แฟ้มใหญ่” หรือ “หัวข้อหลัก” ครับ บัญชีประเภทนี้เราจะ ไม่สามารถ นำไปใช้บันทึกรายการประจำวันโดยตรงได้ หน้าที่ของมันคือการ “ควบคุม” หรือ “สรุปยอด” ของบัญชีย่อยๆ ที่อยู่ภายใต้มัน ตัวอย่างเช่น “ลูกหนี้การค้า” เราอาจจะตั้งเป็นบัญชีคุม

บัญชีย่อย (Sub-Account / Detail Account – อาจกำหนดประเภทเป็น ‘A’, ‘B’ หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ ‘C’) เปรียบเสมือน “เอกสารย่อย” ที่อยู่ในแฟ้มใหญ่ บัญชีประเภทนี้แหละครับที่เราจะใช้บันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละวัน เช่น “ลูกหนี้การค้า – บริษัท ก จำกัด”, “ลูกหนี้การค้า – บริษัท ข จำกัด” เหล่านี้คือบัญชีย่อย ที่ต้องถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้บัญชีคุม “ลูกหนี้การค้า” อีกที

ทำไมต้องแบ่งเป็นบัญชีคุมกับบัญชีย่อย?

  • โครงสร้างชัดเจน ทำให้ผังบัญชีของเราดูเป็นระเบียบ มีลำดับชั้น เข้าใจง่ายว่าบัญชีไหนเป็นส่วนหนึ่งของหมวดหมู่ใหญ่ใด
  • ดูภาพรวมสะดวก เราสามารถดูยอดรวมในบัญชีคุมได้ง่ายๆ เช่น ดูยอดรวมลูกหนี้ทั้งหมด หรือยอดรวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมด โดยไม่ต้องไปไล่บวกจากบัญชีย่อยทีละตัว
  • รายงานยืดหยุ่น เวลา โปรแกรม Express ทำรายงานงบการเงิน เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้แสดงแบบสรุป (โชว์เฉพาะยอดบัญชีคุม) หรือแบบละเอียด (โชว์ทั้งบัญชีคุมและบัญชีย่อย)
  • ป้องกันการลงบัญชีผิด การที่เราลงรายการในบัญชีคุมโดยตรงไม่ได้ ช่วยลดโอกาสที่จะบันทึกรายการผิดพลาดได้ทางหนึ่ง

ดังนั้น เวลาเราเพิ่มบัญชีใหม่ใน โปรแกรม Express ต้องตัดสินใจให้ดีว่าบัญชีนี้จะเป็นบัญชีคุม (C) หรือบัญชีย่อย (A, B) และถ้าเป็นบัญชีย่อย ต้องระบุด้วยว่ามันอยู่ภายใต้การควบคุมของบัญชีคุมตัวไหน

5. การผูกบัญชี (Linking Accounts)

อีกเรื่องที่สำคัญมากใน โปรแกรม Express คือ การ “ผูก” บัญชีบางตัวเข้ากับระบบงานอื่นๆ เพื่อให้โปรแกรมทำงานเชื่อมโยงกันได้อย่างอัตโนมัติและถูกต้อง เช่น

  • ผูกบัญชีคุมลูกหนี้/เจ้าหนี้ ตอนตั้งค่าระบบขาย (AR) และระบบซื้อ (AP) โปรแกรมจะถามหาว่าบัญชีคุมลูกหนี้การค้าคือรหัสอะไร และบัญชีคุมเจ้าหนี้การค้าคือรหัสอะไร เพื่อที่ว่าทุกครั้งที่เราเปิดบิลขายเชื่อ หรือบันทึกใบแจ้งหนี้ซื้อเชื่อ โปรแกรมจะได้ไปลงบัญชีที่บัญชีคุมเหล่านี้ให้เอง พร้อมๆ กับบันทึกยอดแยกตามรายลูกค้า/ผู้ขาย
  • ผูกบัญชีภาษี ต้องกำหนดว่าบัญชีไหนคือ ภาษีซื้อ, ภาษีขาย, ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ยังไม่ได้ขอคืน หรือยังไม่ได้นำส่ง ฯลฯ เพื่อให้โปรแกรมช่วยคำนวณและบันทึกรายการภาษี พร้อมทั้งออกรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขายได้ถูกต้อง
  • ผูกบัญชีสำคัญอื่นๆ เช่น บัญชีกำไรสะสม (โปรแกรมจะใช้บัญชีนี้ตอนปิดบัญชีสิ้นปี), บัญชีเงินฝากธนาคารต่างๆ (สำหรับเชื่อมกับระบบเช็ค การรับจ่ายเงิน) เป็นต้น

การผูกบัญชีเหล่านี้ต้องทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรกนะคะ เพราะมันจะช่วยให้การ ทำบัญชี ประจำวันสะดวกขึ้นมาก ลดงานบันทึกซ้ำซ้อน และข้อมูลเชื่อมโยงกันทั้งระบบ

การวางผังบัญชีไม่ใช่แค่การคีย์ข้อมูลตามใจชอบ แต่ควรมีขั้นตอนการคิดและวางแผนที่ดี ดังนี้

  1. สำรวจธุรกิจตัวเอง => เราทำธุรกิจอะไร? รายได้หลักมาจากไหน? มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่เป็นลักษณะเฉพาะของเรา? มีสินทรัพย์หรือหนี้สินประเภทไหนเป็นพิเศษไหม? ลองลิสต์ออกมาคร่าวๆ ก่อน
  1. ดูผังบัญชีมาตรฐานของ Express => เปิดดูผังบัญชีที่โปรแกรมให้มา เปรียบเทียบกับที่เราลิสต์ไว้ บัญชีไหนใช้ได้เลย? บัญชีไหนชื่อไม่สื่อ ต้องแก้ไข? บัญชีไหนไม่มี ต้องเพิ่ม? บัญชีไหนไม่เกี่ยวกับธุรกิจเราเลย อาจจะลบทิ้ง?
  1. ตัดสินใจเรื่องความละเอียด => เราอยากเห็นข้อมูลละเอียดแค่ไหน? เช่น ค่าเดินทาง อยากแยกย่อยเป็น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าซ่อมบำรุง หรือรวมเป็นค่าเดินทางก้อนเดียวพอ? รายได้ อยากแยกตามประเภทสินค้า/บริการ หรือรวมเป็นรายได้จากการขายอย่างเดียว? ต้องหาจุดสมดุลครับ ละเอียดไปก็อาจจะดูแลยาก ไม่ละเอียดเลยก็อาจจะวิเคราะห์อะไรไม่ได้
  1. ออกแบบโครงสร้างรหัส => กำหนดหลักการให้รหัสบัญชี เช่น หมวด 1 ขึ้นต้นด้วย 1, หมวด 2 ขึ้นต้นด้วย 2… แล้วในแต่ละหมวดจะแบ่งย่อยอย่างไร? เช่น สินทรัพย์หมุนเวียน อาจจะใช้ 11xxx, สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 12xxx เป็นต้น อย่าลืมเว้นช่วงรหัสไว้เผื่อเพิ่มบัญชีในอนาคตด้วย
  1. ร่างผังบัญชีฉบับสมบูรณ์ (บนกระดาษหรือ Excel ก่อน) => ลองเขียนผังบัญชีทั้งหมดที่เราออกแบบไว้ออกมาให้เห็นภาพรวม ตรวจดูว่ามีครบถ้วนไหม มีซ้ำซ้อนหรือเปล่า ลำดับชั้นถูกต้องหรือไม่
  1. ลงมือตั้งค่าในโปรแกรม Express
  • เข้าเมนู “บัญชี => ผังบัญชี”
  • แก้ไข/ลบ: ปรับแก้ชื่อ หรือลบบัญชีมาตรฐานที่ไม่ใช้ออก (แต่ต้องระวัง บัญชีที่ถูกผูกไว้กับระบบอื่นแล้ว อาจจะลบไม่ได้ หรือต้องไปยกเลิกการผูกก่อน)
  • เพิ่มบัญชีใหม่: สร้างบัญชีตามที่ร่างไว้ ใส่รหัส ชื่อ กำหนดประเภท (คุม ‘C’ หรือ ย่อย ‘A’/’B’) และถ้าเป็นบัญชีย่อย อย่าลืมระบุบัญชีคุมให้ถูกต้อง
  • ตรวจสอบอีกครั้ง: พอตั้งค่าเสร็จ ลองสั่งพิมพ์ผังบัญชีจากโปรแกรมออกมาเช็คความถูกต้องอีกรอบ
  1. ผูกบัญชีสำคัญ => เข้าไปที่เมนูตั้งค่าของระบบต่างๆ (เช่น ตั้งค่าระบบขาย, ตั้งค่าระบบซื้อ, ตั้งค่าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม, กำหนดบัญชีเพื่อการปิดบัญชี) แล้วทำการผูกบัญชีที่เรากำหนดไว้ในผังบัญชีให้เรียบร้อย

ข้อควรจำ: พยายามวางผังบัญชีให้นิ่งและถูกต้องที่สุด ก่อน ที่จะเริ่มบันทึกรายการค้าจริงจังนะคะ เพราะถ้าเริ่มบันทึกข้อมูลไปเยอะแล้ว การจะกลับมาแก้ไขโครงสร้างผังบัญชี โดยเฉพาะการเปลี่ยนรหัส หรือลบบัญชีที่มีรายการเคลื่อนไหวแล้ว จะทำได้ยาก และอาจทำให้ข้อมูลเดิมคลาดเคลื่อนได้

ผังบัญชีไม่ใช่สิ่งที่ตั้งค่าครั้งเดียวแล้วจบ เมื่อธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง เติบโต หรือมีรายการค้าประเภทใหม่ๆ เกิดขึ้น ผังบัญชีก็ควรได้รับการทบทวนและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ อย่างน้อยปีละครั้ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่สำคัญ ควรมีการประเมินว่าผังบัญชีปัจจุบันยังคงเหมาะสมหรือไม่ มีบัญชีใดที่ไม่ได้ใช้งานแล้วควรยกเลิก หรือมีบัญชีใดที่ควรเพิ่มเข้ามาใหม่หรือไม่

การวางผังบัญชีใน โปรแกรม Express อย่างมีหลักการและเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว มันคือรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้การ ทำบัญชี มีความถูกต้อง แม่นยำ เป็นระบบ ลดข้อผิดพลาด ช่วยให้การจัดทำรายงานทางการเงินและรายงานภาษีเป็นไปอย่างราบรื่น และที่สำคัญที่สุดคือ การให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นแก่ผู้บริหารเพื่อใช้ในการตัดสินใจขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมาย

แม้ว่า โปรแกรม Express จะมีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวก แต่ความเข้าใจในหลักการ บัญชี และการวางแผนที่ดีของผู้ใช้งาน คือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของโปรแกรมได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น หากคุณกำลังเริ่มต้นใช้งาน โปรแกรม Express หรือต้องการปรับปรุงระบบ บัญชี เดิม ให้ความสำคัญกับการวางผังบัญชีเป็นอันดับแรก แล้วคุณจะพบว่าการบริหารจัดการข้อมูลทางการเงินของธุรกิจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

บทความและข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

คู่มือการใช้งาน

การใช้งานบอทกรอกข้อมูล “ขายสด” (Bancheeprompt → Express)

เตรียมข้อมูลลงใน Excel_template\ขายสด เริ่มต้นบันทึกข้อมูลบิล (หัวบิล): บันทึกรายการสินค้า/บริการแรกในบิล: บันทึกรายการสินค้า/บริการเพิ่มเติมในบิลเดียวกัน (ถ้ามี): บันทึกข้อมูลการชำระเงิน (ถ้ามีการชำร

Read More »
คู่มือการใช้งาน

ขั้นตอนการใช้งาน AI Scan Bills

ฟังก์ชัน AI Scan Bill เป็นเครื่องมืออัจฉริยะสำหรับสแกนบิลค่าใช้จ่าย ใบเสร็จ ใบกำกับภาษี และนำข้อมูลเข้าสู่ระบบบัญชีอัตโนมัติไปที่ลิงก์ : https://panel.bancheeprompt.com/dashboard ทำความเข้าใจหน้าหลัก

Read More »
Scroll to Top